วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

วิจารณ์วรรณกรรม คนอยู่วัด นางสาวสุวิมล สารีพันธ์ รหัส 543410010231 ปี 3 หมู่ 2 ภาษาไทย

คนอยู่วัด
ไมตรี   ลิมปิชาติ



คนอยู่วัดเป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของ คนอยู่วัดจากผู้เขียน ไมตรี ลิมปิชาติถ่ายทอดผ่านตัวอักษรที่งดงามและตัวละครที่แสดงออกถึงทัศนคติที่ดีในการใช้ชีวิต    การมองโลกในแง่ดี อ่านแล้วคุณจะยิ้มออก อารมณ์ดี มีความสุขไปกับพวกเขาเลยทีเดียว เนื้อหาในเล่มจะช่วยปลูกฝังทัศนคติการมองโลกในแง่บวกให้กับคุณผู้อ่านได้เป็นอย่างดี
เนื้อเรื่อง
คนอยู่วัด” เป็นเรื่องจากประสบการณ์จริงของผู้แต่ง  “ไมตรี  ลิปปิชาติ”  มีทั้งหมด 15 ตอน ดังนั้นข้าพเจ้าจะของกล่าวถึงเนื้อเรื่องเป็นตอนๆไป    ทั้งหมดจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กที่อาศัยอยู่ในวัด เด็กส่วนมากก็จะมาจากต่างจังหวัด ซึ่งเด็กแต่ละคนก็จะมีปัญหาคนละด้านไม่ว่าจะด้านปัญหาครอบครัว การเงิน การงาน  การเรียน  และปัญหาในด้านอื่นๆ  เนื้อเรื่องในแต่ละตอนก็จะแฝงไปแง่คิดข้อคิดหรือคติเตือนใจต่างๆ ซึ่งจะปรากฏในเรื่องในแต่ละตอนดังนี้
ตอนที่ 1 ตอน รางวัล
ตอนรางวัลเป็นเรื่องของสนั่น  ซึ่งสนั่นกำลังเรียนอยู่ในโรงเรียนเพาะช่าง  สนั่นเป็นเด็กที่รักการ วาดรูปมาก  เวลาที่ทางวัดมีงานก็จะให้เขาเป็นคนเขียนป้ายโฆษณาให้  สนั่นนั้นเกือบจะไม่ได้เรียนเพาะช่างแล้วเพราะพ่อไม่ให้เรียนพ่อบอกกับเขาว่าเรียนวาดเขียนจน แต่เขาก็บอกพ่อไปว่าถ้าไม่ให้เรียนเพาะช่างก็จะไม่เรียนจะโตเป็นควายอยู่ในกรุงเทพฯ พ่อจึงย่อมให้เค้าเรียนเพาะช่างจนเย็นวันหนึ่งสนั่นได้วาดภาพพระแก่ๆรูปหนึ่ง กลับมาจากบิณฑบาต และมีเด็กวัดหลายคน แต่งตัวนักเรียน กำลังรอพระ เพื่อกินข้าวก่อนไปโรงเรียน เค้าตั้งชื่อภาพนี้ว่า  รอ” แล้วส่งประกวด  และผลปรากฏว่ารูปที่เค้าส่งเข้าประกวดนั้นชนะได้ที่หนึ่ง หลังจากนั้นเขาได้เขียนจอหมายกลับไปบอกพ่อว่าเขาได้รางวัลชนะเลิศ ได้เงินรางวัลหนึ่งพันสอง  แล้วหลังจากนั้นเขาก็ชวนเพื่อนเพื่อนไปเลี้ยง ในโอกาสที่ได้รางวัลหมดไปหลายร้อยแล้วนำเงินที่เหลือไปซื้ออุปกรวาดรูป และหลายวันต่อมาพ่อได้ตอบจดหมายกลับเนื้อหาในจดหมายบอกว่าจะงดส่งเงินมาให้ใช้สองเดือนเพราะสั่นได้รับวันรางวัลแล้ว
ตอนที่ 2 ตอน แผนของล้าน
ตอนนี้เป็นเรื่องของเด็กที่ชื่อล้าน เด็กที่หลวงทวีพาอยู่ที่วัดหลังจากหลวงพี่ทวีกลับบ้านที่ต่างจังหวัด  ล้านเป็นเด็กที่น่าสงสารกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก  สมองไม่ค่อยดี อายุเกือบ ๑๕ ปีล้านไม่ได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ หลวงพี่จึงมอบหมายหน้าที่ให้ล้านไปรับปิ่นโตจากร้านอาหารเวลาฉันเพล   อยู่มาวันหนึ่ง วันนั้นเป็นวันหยุดโรงเรียน เมื่อเวลาถึงเพลเด็กวัดพากันตักข้าวใส่จานประเคนให้พระและเณร  รอล้านไปยกปิ่นโตมาให้   รอแล้วรอเล่า ล้านก็ยังไม่ยกปิ่นโตมา   หลวงพี่ทวีจึงสั่งให้เด็กวัดไปตามล้าน เด็กวัดคนหนึ่งจึงวิ่งออกไปตาม พอไปตามกลับมา  เด็กวัดบอกว่าล้านเอาปิ่นโตมาแล้ว   เพลวันนั้นพระและเณรจึงต้องฉันข้าวเปล่ากับพริกน้ำปลา เด็กวัดก็หนีไม่พ้นก็ต้องกินเหมือนกัน ในขณะที่พระและเณรลงจากหอฉันหมดแล้ว ล้านจึงมาถึงแล้วยกชั้นปิ่นโตออกทีละชั้นโดยมีอาหารและของหวานอยู่ในนั้น พอกินอาหารหมดล้านจึงยืนขึ้นแล้วร้องขึ้นมาว่า วันนี้เป็นวันเกิดของข้า ข้าไม่มีวิธีนั้นจะเลี้ยงวันเกิดได้เหมือนวิธีนี้ จากนั้นล้านจึงไล่เด็กวัดกลับ ส่วนเขาจะเป็นคนอาสาล้างจานชามเอง พอตกเย็น หลวงพี่ทวีจึงเรียกล้านไปลงโทษ โดยให้ล้านล้างส้วมพร้อมสั่งสอนว่า วันเกิดเขามีแต่ทำบุญเลี้ยงพระ ไม่ใช่มาแย่งพระกิน จำไว้
ตอนที่ 3 ตอน ไอ้นึก
นีกเป็นคนคล้ำผมหยิก  อายุสิบแปด  เป็นนักศึกษามหาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง เงินที่ทางบ้านส่งมาให้ก็มักจะใช้แบบลืมตัวตอนต้นเดือน  ทำให้ปลายเดือนนั้นเดือดร้อน แต่เขาก้อยู่รอดได้โดยการไถเงินเพื่อนฝูงใช้  ตัวตัวเหมือนขอทานที่อยู่ในคราบของนักศึกษา  เวลาประมาณสองทุ่มเห็นจะได้  นึกจะแต่งตัวเรียบร้อย ทำทีไปงานศพที่วัดข้างๆเพื่ออาศัยกินข้าวต้มงานศพ  ที่วัดนั้นมีงานสวดศพหมุนเวียนกันแทบทุกคืนเสียด้วย  เย็นวันหนึ่ง ไอ้นึกแต่งตัวสวมเสื้อบอกเรียนร้อย รองเท้าขัดขึ้นเงาวับ กำลังจะออกจากวัดเพื่อนที่จะไปงานแต่งงานอยู่มาวันหนึ่ง ไอ้นึกมาด้วยใบหน้าที่ไม่ร่าเริงมาพบเพื่อนอยู่บนห้อง มาขอยืมเงินไมตรี แต่ไมตรีบอกว่าไม่มี แล้วนึกก็เดินจากไป พอตกเย็นนึกก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับเงินร้อยกว่าบาท เพื่อนจึงถามว่าไปขโมยเงินใครมา  แล้วนึกก็ตอบว่า “คนอย่างกูรึจะขโมยเขากิน  กูรวบรวมหนังสือแจกงานศพไปขายเจ๊กมาโว้ย” 
ตอนที่ 4 ตอน เหตุเกิดจากสี
หยุดเรียนวันอาทิตย์ หลวงปู่ซึ่งเป็นเจ้าอาวาส ระดมเด็กวัดให้ช่วยกันทาสีกำแพงวัดทั้งด้านในและด้านนอกของวัดแค่เพียงวันเดียว พวกเราก็ทาสีวัดกันเสร็จเรียบร้อย ได้กำแพงวัดที่เหลืองอย่างสวยงามหลวงพี่คำนวณเรื่องสีผิดพลาดทาสีเสร็จสีต่างๆเหลือเป็นจำนวนมาก เด็กวัดจึงแบ่งสีกันเอาไปทาห้องของตัวเอง  เด็กวัดคนที่มีนิสัยมือบอล ก็เอาสีเขียนเขียนโน่นเขียนนี่ไปเรื่อยเปื่อยไปให้หายคันมือ เพราะนานๆทีที่จะมีสีให้ละเลงเล่นกันสักครั้ง  ในช่วงเวลานั้นจึงทำให้เกิดข้อความที่ทุกคนเขียนต่างกันแสดงออกถึงทัศนคติเพื่ออนาคตของตนเอง และมีทางที่จะเป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะคนเหล่านี้มีความขยันขันแข็งในการเรียน และเคยมีตัวอย่างมามากแล้วที่เด็กวัดได้ดีเป็นใหญ่เป็นโต
ตอนที่ 5 ตอน ที่ก๊อกน้ำมีชีวิต
ในวัดมีก๊อกน้ำอยู่ที่หนึ่งเป็นที่เด็กวัดร่วมร้อยคนใช้น้ำจากก๊อกนี้เป็นที่อาบน้ำ  ซักผ้า  ล้างปิ่นโตและดื่มกินจิปาทะ ฯลฯ ก๊อกน้ำนี้ทำงานหนักมาก   ถ้าเป็นคนคงลมใส่ดิ้นตายไปนานแล้ว  เพราะตั้งแต่เช้าจดเย็นตลอดไปจนถึงดึกดื่นจะมีเด็กวัดมายุ่มย่ามใช้สอยมันอยู่เสมอ  อยู่มาคืนหนึ่ง  ไมตรีได้ออกไปเดินเล่นที่สะพานพุทธฝั่งธนบุรี  เดินสวนทางกับฝรั่งหนุ่มเนื้อตัวมอมแมมมีสัมภาระเต็มหลังคนหนึ่งเข้า  ไมตรีเข้าไปทักท้ายความตั้งใจเพื่อฝึกภาษาอังกฤษและจุดประสงค์คืออยากรู้ว่าเข้ามาจากไหน  เมื่อได้คุยกันเขาบอกว่าเขาไปนักเดินทางรอบโลกแบบอนาถา จุดประสงค์เพื่อหาประสบการณ์เพื่อเขียนหนังสอสักเล่ม พอทราบว่าเขายังไม่มีที่พักไมตรีจึงชวนเค้าไปพักด้วย  ไมตรีพาเข้าไปยังก๊อกน้ำในขณะที่เด็กวัดอาบน้ำกันอยู่สองสามคน  ซึ่งในบริเวณค่อนข้างมืดเลยทำให้คนที่มาอาบน้ำนั้นเปลือยอาบน้ำกัน  ฝรั่งคนนั้นมองฝ่าความมืดไปยังก๊อกน้ำแล้วถามว่า  “ที่นั้นเขาแก้ผ้าอาบน้ำกันเหรอ?” ไมตรีก็ตอบกับไปว่า “ใช้  มันเป็นประเพณี”  ฝรั่งได้ยินดังนั้นก็ทำการแก้ผ้าอาบน้ำเลย  พออาบน้ำเสร็จก็พากันเข้านอน  ไมตรีตื่นเช้ากว่าปกติ  มองไปยังที่นอนของฝรั่งหนุ่มคนนั้นแต่ก็ไม่เจอ  จึงเอะใจ  มองไปยังก๊อกน้ำก็เห็นฝรั่งคนนั้นเปลือยกายล่อนจ้อนอาบน้ำอยู่คนเดียว 

ตอนที่ ตอน ศักดินาในวัด
ได้พบกับเพื่อนรุ่นน้องซึ่งมาจากจังหวัดเดียวกัน  ที่สถานีรถไฟหัวลำโพง  ชื่อสมเกียรติ  เป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาสวยเหมือนเด็กผู้หญิง  พอดีกลับที่เค้ากำลังหาหอใหม่  เขาเลยอยากมาอยู่วัดด้วย ไมตรีไม่เชื่อว่าเขาจะพูดจริงเพราะสมเกียรติเป็นคนสำอาง  ทางบ้านก็มีฐานะ แต่เขาก็ยังยืนยันว่าอยู่ได้  ไมตรีเลยพาไปขออนุญาตจากหลวงพี่  แล้วสมเกียรติย้ายของเข้ามาอยู่วัด สมเกียรติเป็นคนอาบน้ำนานเลยไม่มีใครอยากอาบด้วย  เสื้อผ้าก็จ้างเด็กในวัดซักให้   อยู่มาวันหนึ่งไมตรีกลับมาจากโรงเรียนก็เห็นกระดาษมัดเชือกเรียบร้อย  ก็คิดว่าแม่เป็นคนฝากทุเรียนกวนมาให้  จึงรีบเปิดแต่พอเปิดถึงชั้นในสุด  แทนที่จะเป็นกลิ่นทุเรียนกลับกลายเป็นกลิ่นขี้แทน  ซึ่งหอกระดาษนั้นก็เป็นของสมเกียรติ   เขาบอกว่าห้องน้ำวัดมันเหม็นและสกปรกเลยขี้ไม่ออก  ไมตรีเลยบอกว่าอย่าทำอีก เค้าก็สัญญาว่าจะไม่ทำอีก  และต่อมาไมตรีก็เห็นอะไรที่ผิดปกติของสมเกียรติคือเค้าจะตื่นขึ้นมาแต่เช้า  แล้วเอานิ้วมือแตะขี้ดินสอสีดำมาเขียนคิ้วและใช่แป้งทาหน้า  และจกกระจกอย่างบรรจง  อยู่มาคืนหนึ่ง ไมตรี  รู้สึกว่ามีใครคนหนึ่งเข้ามานอนด้วย   แล้วชื้อคลำอวัยวะเพศขอเขา  เขาตกใจตื่น  เห็นสมเกียรตินอนอยู่ใกล้  รุ่งเช้าขึ้น  ไมตรีได้ขอให้สมเกียรติออกจากวัด   เขาก็ยอมออกไปและไปเช่าหอพักที่ใกล้กับวัดและก็คงทิ้งนิสัยเดิมๆของเขา
ตอนที่ 7 ตอน  รองเท้าหาย
                สิ่งที่ขึ้นชื่อในวัดคือขโมย  เด็กวัดที่อยู่เป็นร้อย  ก็ย่อมมีดีมีเลวบ้างปะปนกัน  ขโมยในวัดสร้างความวุ่นวายให้ไมตรีและเพื่อนของเข้าเสมอ  เช่นเช้าวันหนึ่ง  ประคองเดินหน้าบึ้งตึงเข้ามาหาไมตรีกับอำนวยแล้วมาขอยืมรองเท้า เพราะรองเท้าเขาโดยขโมย   ต้องใส่ไปสอบแต่เขาก็ไม่มีเงินที่จะซื้อใหม่ ไมตรีเลยเสนอว่าเอาของเขาไหม  เพราะเขามีรองเท้าที่ไม่ได้ใส่อยู่คู่หนึ่งแต่ปรากฏว่าประคองใส่ไม่ได้  เลยขอยืมของอำนวย แต่อำนวยไม่อยากให้เท่าไรเพราะอำนวยเป็นคนรักรองเท้าแต่ประคองกลับใส่รองเท้าของอำอวยได้พอดี  เลยจำใจต้องให้ประคองยืม  หลายวัยต่อมาประคองก็เอารองเท้ามาคืน  บอกว่าเจอแล้วไม่มีใครเอาไปนึกเป็นคนเอาไปปาหมา แล้วไม่เก็บมาคืนไปเจอที่ข้างกำแพงหลังโบสถ์และและใต้กุฏิหลวงพี่  อำนวยบอกว่าซื่อใหม่เถอะ แต่ประคองกลับตอบว่า “รองเท้าใหม่ๆ กูเบื่อขัดว่ะ ใช้รองเท้าคู่เก่าหายยากด้วย  เพียงระวังอย่างเผลอลืมไว้หน้าห้องเป็นใช่ได้  ไม่งั้นเดียวไอ้นึกเอาไปปาหมาอีก”
ตอนที่  ตอน  ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของโรงจำนำ
ประวัติเป็นเด็กวัดที่ได้รับธนาณัติบ่อยที่สุด แต่ธนาณัติที่ส่งมีเงินเพียงครั้งละ 50 บาท 80 บาท    อย่างมากไม่เกิน 100 บาท การเป็นอยู่ของประวัติก็ประหยัดเรียกว่าสุดหัวใจขาดดิ้นก็ว่าได้เขาหุงข้าวกินเอง  กับข้าวนั้นแทบจะไม่มีอะไรเลย  ปลาแห้งสักชิ้นก็สามารถทำให้อิ่มได้  ทำให้ร่างกายของเขามีแต่แป้งและเขายังไม่ชอบออกกำลังกายอีก  ผลร้ายคือทำให้เค้าอ้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว  และสิ่งที่ตาคือเข้าใส่กางเกงตัวเดิมไม่ได้ จะตัดใหม่ก็ไม่มีเงิน  เลยไปขอยืมเงินหลวงพี่ไปตัดกางกางใหม่ตัวหนึ่ง  เพราะหวังว่าจะลดน้ำหนักและจะกลับไปใส่กางเกงตัวเดิม  อยู่มาวันหนึ่งเขากลับมาจากข้างนอกก็พบว่ากางเกงของตัวเองนั้นหาย   เพื่อนเลยพูดขึ้นขึ้นว่าทำไมไม่เก็บไว้ให้ดีๆ  ประวัติเลยบอกว่าตู้เสื้อผ้าก็ไม่มีแล้วจะให้เขาเก็บไว้ไหน        อยู่นึกก็พูดขึ้นว่า “ทำไมจะไม่ได้  เอาไปฝากเตี่ยไว้ซีโว้ย  โรงจำนำมันจะม้วนเก็บของมึงอย่างดี  มึงจำไว้ต่อไปถ้ากางเกงตัวไหนที่ไม่ใส่  ฝากไว้โรงจำนำปลอดภัยที่สุด”
ตอนที่  9  ตอน  ค่าของเหรียญทอง
วันหนึ่งไมตรีปัญหาขัดสนเรื่องการเงินสิ่งต่างๆ  ก็เอาไปจำนำจนหมดแล้ว  อยู่ๆเขาก็คิดออกว่ายังมีกระเป๋าใส่เสื้อผ้าใบใหญ่อยู่จึงเก็บของออก  ก็เจอเหรียญทองอันหนึ่งที่ได้จากการแข่งขันบาสเกตบอลของเทศบาลนครกรุงเทพฯ  เข้าตั้งใจเก็บเหรียญรางวัลให้ลูกหลานดูต่อไปในอนาคตข้างหน้าใครมาขอซื้อก็จะไม่ขาย  แต่เอามาจำนำก็เพราะว่ามีเงินเมื่อไรก็ไถ่ถอนคืนได้ไม่ยาก  แต่หลงจู๊  ก็ไม่รับจำนำเพราะเหรียญทองของไมตรีเป็นแค่ทองชุบมันไม่มีราคาค่างวดอะไร  ไมตรีรับเหรียญทองกลับคืนมาด้วยความผิดหวัง  ขณะเดินคอตกกลับวัดในใจก็คิด “เหรียญทองอันนี้มีค่ากลับเราที่สุด  แต่กลับไม่มีค่ากับคนอื่นเลย
ตอนที่ 10  ตอน  เตียง
                ไมตรีได้เขามาเป็นเด็กวัดได้ก็เพราะการซักชวนของนวย   ตอนที่เข้าอยู่แรกๆเขาก็ไก้อยู่ห้องเดียวกันกับนวยเพราะห้องไม่ว่าง  และเตียงที่เด็กวัดใช้นอนก็จะเป็นเตียงที่ทำขึ้นเอง  จนกระทั่งห้องว่างไมตรีจึงได้ย้ายไปอยู่ห้องคนเดียว  ในห้องมีเตียงที่พิเศษกว่าห้องอื่นเพราะทำด้วยไม้อย่างดี  ไม้แผ่นหนาที่เป็นพื้นเตียงเป็นไม้ที่ทำมาจากโลงศพมาก่อน  วันหนึ่งมีชายกลางคนมาทำบุญเลี้ยงพระที่วัด  เขาเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อยู่กระทรวงมหาดไทย  มาเรียกชื่อของไมตรีเพื่อจะขอเข้าไปในห้อง  ชายคนนี้บอกว่า  เค้าเคยเป็นเด็กวัดนี้มาก่อน  แล้วนอนในห้องนี้และเตียงนี้  หลายวันผ่านไปเขาก็ได้กลับมาอีกครั้งเพื่อมาขอแลกเปลี่ยนเตียง  เขาบอกว่าจะซื้อเตียงใหม่มาให้ไมตรีจึงยอมแลกเตียง  เพื่อนๆในวัดต่างแห่กันมาเพื่อขอดูเตียงใหม่ของไมตรีที่มีที่นอน  และผ้าปูที่นอนใหม่  สองปีต่อมา  นวยก็จบการศึกษา  ได้เข้ารับราชการก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ส่วนไม่ตรีนั้นเรียนไม่จบ ทำงานไม่เป็นหลักแหล่ง ไมตรีก็ไม่ค่อยได้พบกับอำนวยบ่อยหนัก  แต่เมื่อพบกันครั้งไหนนวยก็มักจะถือโอกาสขุดคุ้ยเรื่องเก่ามาด่าไมตรีว่า  “มึงนะ!  เรียนไม่จบก็เพราะเตียง  สมัยมึงอยู่วัด  มึงนอนสบายเกินไป”
ตอที่  11  ตอน โทรเลขจากบ้าน
                ตอนนี่ไมตรีได้ชวนน้องชายที่เข้ามาเรียนต่อในกรุงเทพฯมาอยู่ด้วย   เพื่อประหยัดค่าหอพัก  อยู่มาวันหนึ่งเขาและน้องได้รับโทรเลขจากแม่ว่า  “พ่อเจ็บหนัก  ให้กลับบ้านทุกคน”  ดังนั้นเค้าจึงได้ไปส่งโทรเลขบอกพี่ชายที่ทำงานอยู่โคราชรู้เรื่อง  และเดินไปบอกน้องสาวที่หออยู่หอหญิงใกล้วัด   เช้าวันพรุ่งขึ้นเข้าก็เดินทางกลับบ้านทันที  พอถึงสถานีรถไฟน้าปั่นก็มารับและบอกว่าพอเสียแล้ว ดังนั้นทำให้เค้าและน้องๆร้องไห้กันออกมาตอนนั้นทันที  พอเสร็จจากงานศพพ่อพวกเค้าก็กลับมากรุงเทพฯเพื่อนก็ต่างพากันมาแสดงความเสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ของไมตรี   เพื่อนของไมตรีก็ได้รับโทรเลขทางบ้านว่า  “พ่อเสียแล้ว  กลับบ้านด่วน” ไมตรีจึงเข้าไปแสดงความเสียเพราะเขาเข้าใจความรู้ของการสูญเสียมันเป็นอย่างไร          “ให้ตายซี!  พวกมึงนี้  ทำเป็นกระต่ายตื่นตูมไปได้  กูวานให้เพื่อนโทรเลขมาเองโว้ย!  เพื่อเป็นหลักฐานลาโรงเรียน”
ตอนที่  12  ตอน  ขายเลือด
                เป็นเรื่องของ  ช่วง เขาเป็นเด็กที่ปัญหาที่ครอบครัว  พ่อแม่เลิกกัน  แม่มีสามีใหม่  พ่อมีภรรยาใหม่  ช่วงไปอยู่กับก็ไม่ถูกกับพ่อใหม่  ไปอยู่กับพ่อก็ไม่ถูกกันกับแม่ใหม่  เขาเลยตัดสินใจมาอยู่ที่วัดแทน  ช่วงไม่ไดเรียนหนังสือเพราะว่าไม่มีใครส่งเลยหันมาเอาดีในด้านการชกมวย  เขาขึ้นชกครั้งแรกก็แพ้  ครั้งที่สองก็แพ้  เอาชนะอยู่ไม่กี้ครั้งแต่ก็ยังเจ็บตัวกลับมาทุกครั้ง  คนที่เคยไปดูเขาชกก็ต่างบอกว่าเขาต่อยมวยโง่  ไม่มีจังหวะ  แต่เขากลับอยู่คำพูดนั้นกลับมาเป็นแรงผลักดัน   วันหนึ่งเขาบากหน้าไปขอเงินพ่อเพื่อไปชกมวยที่ตรัง  เขาหายไปปีกว่าก็กลับมา  ใส่แว่นตาดำมาด้วย  เขาบอกว่าเขาประสบอุบัติเหตุทำให้เสียตาไปข้างหนึ่ง  ช่วงกลับมาอยู่วัดอีกครั้ง  เกือบทุกเย็นก็จะเดินไปค่ายมวยไปในฐานะของคนดู   หรือไปช่วยเขานวดนักมวย  มาวันหนึ่งเป็นวันหยุดเรียน  ช่วงก็พูดว่าจะเลี้ยง  เพราะเขากำลังจะไปขายเลือด   พอตกเย็นช่วงก็เดินหน้าซีดเขามาที่แขนมีรอยเข็ม “เป็นไง” เพื่อนถามช่วงเลยส่ายหน้าช้าๆ  ไม่ยอมยิ้ม แล้วพูดว่า  “กูไปถึงโรงพยาบาล  ตั้งใจจะขายเลือด  บังเอิญกูเกิดรู้จักกับพยาบาลคนหนึ่ง  เป็นคนบ้านเดียวกับกู  กูเลยให้เลือดไปฟรีๆ”
ตอนที่ 13 ตอน  คุณยอดยิ่ง
ยิ่งเป็นลูกคนขายขนม ได้ผิดหวังในความรักครั้งหนึ่ง และสอบตกอีกด้วย   แต่ยิ่งก็ยังคงตั้งใจเรียนต่อไป   จนจบการศึกษาและสอบเข้าทำงานที่กรมได้  ยิ่งตั้งใจเรียนและในที่สุดความพยายามก็แสดงผล   ยิ่งไต่เต้าจากลูกน้องขึ้นมาเป็นหัวหน้ากรมและการที่จะเข้าพบยอดยิ่งในตอนนี้จะเรียกไอ้ยอดยิ่งไม่ได้แล้วต้องเรียกว่า คุณยอดยิ่ง
ตอนที่  14   ตอน หลวงตา
หลวงตามีอายุมากแล้ว  พระลูกวัดก็ไม่อยากให้ท่านออกเดินบิณฑบาตแล้ว  อยากให้ท่านได้พักผ่อนแต่ท่านก็ไปยอม ท่านบอกว่าหน้าที่บิณฑบาตเป็นหน้าที่ของพระ  อยู่มาวันหนึ่งท่านได้ปวดท้องโดยที่ไม่ทราบสาเหตุลูกศิษย์เลยพาส่งโรงพยาบาล  คืนนั้นหมอจัดห้องให้หลวงปู่พักที่โรงพยาบาล  มีพระมานอนเฝ้าหนึ่งรูป  หลวงปู่ตื่นเช้าตามปกติก็พูดว่า “รีบกลับวันเดียวนี้    ไม่ต้องเปลี่ยน  รีบกลับไปวัดฉันเป็นห่วงเด็กๆ มัน    วันนี้ฉันไม่ได้บิณฑบาตกลัวพวกมันจะกินไม่อิ่ม  ไปบอกท่านมหาทวีด้วย  จัดอาหารให้เด็ก  ถ้าไม่พอให้ไปซื้อ  จนกว่าฉันจะหายกลับไปวัดได้
ตอนที่  15 ตอน  เรื่องของไอ้นึกยังไม่จบ
                นึกได้เลิกเรียนหนังสือเข้าสมัครทำงานที่บริษัทแห่งหนึ่งทำงานเป็นเซลล์แมนขายแอร์ นึกทำยอดขายได้ดี  ได้เปอร์เซ็นจากบริษัทก็ใช้เงินมือใหญ่   เที่ยวหนักขึ้น  เริ่มกินเหล้าเที่ยวบาร์และเล่นการพนัน  นึกเป็นเซลล์แมนได้เพียงหนึ่งเดือนก็ถูกไล่ออก  เพราะโกงเงินบริษัท  และยังโดนแจ้งตำตรวจจับอีกด้วย  ต้องเดือดร้อนทางบ้านที่ต้องจำนองที่นามาใช้หนี้บริษัทและพาออกจากคุก  ทำให้เขาต้องกลายมาเป็นเด็กวัดอย่างเต็มภาคภูมิตามเดิม
ลักษณะนิสัย
การวิเคราะห์เชิงสังคมเป็นการวิเคราะห์ในแนวสัจนิยม ที่ถือว่าสิ่งต่าง ๆ มีอยู่และเป็นจริงโดยธรรมชาติ    พฤติกรรมต่างๆของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นทางวาจาหรือทางการกระทำ   ต่างก็มีปัจจัยที่มาจากสังคมหรือสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆตัว      เรื่องสั้น  “คนอยู่วัด”  เป็นประสบการณ์จริงของผู้แต่งจึงได้ใช้กลวิธีเป็นการเล่าเรื่อง   เราจึงเข้าใจลักษณะนิสัยของตัวละครตัวอื่นๆ   จากการเล่าเรื่องของผู้แต่งที่ชื่อไมตรี  ซึ่งจะขอเลือกวิเคราะห์แต่ตัวละครที่ปรากฏเด่นๆในเรื่อง
สนั่น เป็นตัวละครตัวแรกที่ปรากฏในเรื่อง ตอน “รางวัล”   สนั่นกำลังเรียนเพาะช่างในกรุงเทพฯ  เขาเป็นคนที่ชอบวาดรูปมาก  เขามีความฝันว่าจะเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงของเมืองไทยให้ได้  แต่พ่อกลับไม่อยากให้เขาเรียนเพราะการเรียนเขียนรูปในสมัยนั้นมักจะจนพ่อจึงไม่อยากให้เขาเรียน   แต่สุดท้ายเขาก็เรียนจนได้ และความสามารถในการวาดรูปของสนั่นนั้นทำให้รูปวาดของสนั่นได้รับรางวัลชนะเริศ   เราจึงเห็นถึงความสามารถและความพยายามของสนั่นที่อยากเรียนเพาะช่าง  
ล้าน ปรากฏตัวในตอน  “แผนของล้าน”   ล้านเป็นเด็กที่หลวงพามาอยู่วัดคนสุดท้ายล้านเป็นเด็กที่สมองไม่ค่อยดี เป็นเด็กที่น่าสงสารกำพร้าพ่อแม่มาตั้งแต่เด็ก  ทำให้หลวงพี่ต้องพามาอยู่ด้วย  ล้านเป็นเด็กที่ขยันใครใช้ให้ทำอะไรก็ทำ  และอยู่มาวันล้านได้ทำความผิดโดยการที่ไม่เอาปิ่นโตมาส่ง  เพราะจะเก็บไว้เลี้ยงเพื่อนเพราะวันนั้นเป็นวันเกิดของตน  ตนเองไม่มีเงินที่จะมาเลี้ยงเพื่อนในวันเกิดเลยต้องทำแบบนั้น  สุดท้ายหลวงพี่ก็จับได้เลยถูกทำโทษ การกระทำของล้านก็คือการทำไปแบบรู้เท่าไม่ถึงการ     
นึก เป็นหนึ่งในตัวละครที่ปรากฏตัวเยอะที่สุดในหนังสือเล่มนี้ มีตอนหลักเกี่ยวกับนึกถึงสองตอน  คือไอ้นึกกับ เรื่องของไอ้นึกยังไม่จบทั้งสองตอนแสดงถึงความกะล่อนของนึก วิธีการเอาตัวรอด  นึกเป็นคนที่ไม่ต้องการความลำบาก จึงพยายามใช้ทางลัด ไม่ว่าจะเป็นการขอกินตามงานเต่งงานหรือขอเงินเพื่อน   ในตอนต่อมานึกเป็นเซลล์แมนขายแอร์    แต่กลับโกงบริษัท จนสุดท้ายก็ต้องเข้าคุกในที่สุด         ไอ้นึกแสดงถึงเด็กวัดท่าไม่พยายามไขว่คว้าหวังจะได้อะไรง่ายๆสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ         
ช่วง ปรากฏตัวในตอน ขายเลือด เรียกได้ว่าเป็นคนที่พบความอุปสรรคในชีวิตอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาครอบครัว ความล้มเหลวในการเป็นนักมวย อุบัติเหติ ฯลฯ    ช่วงมีวิธีต่อยมวยที่ไร้จังหวะและ ไร้โชคสำหรับเขา ความใจสู้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่คอยพยุงให้เขามุ่งมั่น เขาเป็นตัวแทนของเหล่าเด็กวัดที่แม้จะพยายามเท่าไหร่ก็ยังแพ้อยู่ ถึงกระนั้นไอ้ช่วง ยังมีแนวคิดที่ว่า ไม่ชนะแต่จะไม่ยอมแพ้     
ยอดยิ่ง ที่ปรากฏในตอน  “คุณยอดยิ่ง”  ยิ่งเป็นลูกคนขายขนม ได้ผิดหวังในความรักครั้งหนึ่ง และสอบตกอีกด้วย   แต่ยิ่งก็ยังคงตั้งใจเรียนต่อไป    ยิ่งเห็นว่าเป็นคนจนถึงเรียนเก่งสุดท้ายก็ยังต้องเจออุปสรรคไม่เหมือนคนรวยที่ได้รับการสนับสนุนแทบทุกด้าน    ไอ้ยิ่งตั้งใจเรียนและในที่สุดความพยายามก็แสดงผล   ยิ่งไต่เต้าจากลูกน้องขึ้นมาเป็นหัวหน้ากรม    ยิ่งเด็กวัดในตอนนี้คือคุณยอดยิ่งหัวหน้ากรม   นั่งห้องแอร์มีลูกน้องมากมาย    ยิ่งปรากฏตัวน้อยครั้งแต่เป็นตัวละครมี่สำคัญมาก   เขาแสดงให้เห็นว่าหากเราสู้ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค     และตั้งใจที่จะเดินต่อไปข้างหน้าวันหนึ่งความพยายามก็จะเป็นผลสำเร็จ  ความพยายาม และแรงใจที่แกร่งกล้า ได้เปลี่ยนเขา จากเด็กวัดสู่หัวหน้ากรม จากไอ้ยิ่งสู่คุณยอดยิ่ง
เด็กวัดเข้ามาในกรุงเทพฯส่วนมาก เข้ามาเรียนหนังสือ เด็กวัดแต่ละคนจะพบอุปสรรคแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว การงาน การเงิน การเรียน และอีกหลายอย่าง  แต่ล่ะคนแก้ไขปัญหาแตกต่างกันไป ซึ่งปัญหาต่างๆ เหล่านั้นก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมในทุกยุคทุกสมัย บางคนก็เลี่ยงอุปสรรคด้วยทางลัด เช่นไอ้นึก หรือ พวก ที่ขโมยของ บางคนสู้กับปัญหา แม้ไม่เห็นทางชนะ ฝืนดวงตนเอง เช่น ไอ้ช่วง บางคนพยายามและพบกับชัยชนะสูงสุด ซึ่งก็มาจากความลำบากทั้งสิ้น คนอย่างนี้ตัวอย่าง คือไอ้ยิ่ง ซึ่งตอนจบก็เป็นคุณยอดยิ่ง ชีวิตของเด็กวัดดูลำบาก แต่ตราบใดที่เป้าหมายยังอยู่ตรงหน้า อุปสรรค ก็จะไม่หยุดพวกเขา  
เนื้อเรื่องของเรื่องสั้นนี้  ข้าพเจ้าว่ามีเนื้อเรื่องที่สมจริงและลักษณะนิสัยของบุคคลก็สมจริง  เพราะเป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ของผู้แต่งเอง  แม้เนื้อเรื่องบางครั้งอ่านไปอาจจะดูไม่ต่อเนื่องหรือเรื่องสั้นแต่ละเรื่องไม่สัมพันธ์กันบ้างก็ตาม  แต่ถือว่าเนื้อของแต่ละเรื่องสั้นนั้นสามารถให้ข้อคิดต่างกับผู้อ่านได้ดีเลยทีเดียว


วินิจสาร หรือตีความว่าผู้แต่งส่งสารอะไรมาให้ผู้อ่าน
สาร
สารหรือใจความของเรื่องสั้นเรื่องนี้จับได้โดยไม่ยาก  นั่นคือผู้แต่งพยายามจะพูดถึงอุปสรรคต่างๆ  ที่เข้ามาในชีวิตและวิธีการในการแก้ไขปัญหานั้นๆ  ซึ่งต่างคนก็ต่างที่จะมีวิธีในการแก้ไขปัญหาที่ต่างกัน อยู่ที่ว่าใครจะทางเดินทางแก้ไขปัญหานั้นในทางที่ถูกหรือในทางที่ผิด   ก็เหมือนกับยอดยิ่งที่เขาเลือกเดินทางในการแก้ไขปัญหาในทางที่ถูกจึงทำให้เขานั้นประสบผลสำเร็จในชีวิต  แต่ในทางกลับกันนึกที่เลือกเดินทางในการแก้ไขปัญหาในทางที่ผิดจึงทำให้ชีวิตของเขาเป็นเช่นนั้น  และสารอีกอย่างหนึ่งที่ผู้แต่งส่งมายังผู้อ่านคือ  สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ในสมัยนั้น    ที่เด็กต่างจังหวัดที่ต้องการเรียนหนังสือจะต้องมาอาศัยอยู่ที่วัดเพื่อเป็นที่หลับที่นอน  และอาศัยข้าวก้นบาตรจะวัดเพื่อเป็นการประหยัดเงินช่วยทางบ้าน     เพราะเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเป็นเด็กวัดนั้นส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวที่ยากจนมีพี่น้องหลายคน    แต่เนื่องด้วยต้องเองต้องการเรียนหนังสือเพื่ออนาคตจึงจำเป็นที่จะต้องทำแบบนั้น

กลวิธี
ส่วนสำคัญในการช่วยสร้างความน่าสนใจชวนติดตามและน่าประทับใจให้กับเรื่องสั้น ผู้อ่านควรพิจารณาว่ากลวิธีการดำเนินเรื่องของผู้แต่งในแต่ละแบบนั้นส่งผลต่อเรื่องสั้นนั้นๆอย่างไร  ในเรื่องสั้นเรื่องนี้เราสามารถจะพิจารณาตามหลักวิชาได้   โดยไม่พึ่งความเห็นส่วนตัวอย่างเดียว   คือการใช้ภาษา     ในเรื่องสั้นเรื่องเราจะเห็นได้ว่าตัวละครจะใช้ภาษาที่จะค่อนข้างไม่สุภาพ จะแทนตัวด้วย กู มึง    ซึ่งเป็นข้อบกพร่องของเรื่องสั้นเล่มนี้   แต่ในความบกพร่องนั้นกลับทำให้ภาษาที่ใช้เป็นภาษที่เข้าใจง่ายเป็นภาษาปาก  ซึ่งเป็นภาษาที่ผู้คนส่วนมากในสมัยนั้นใช้กัน  และตัวละครแต่ละตัวก็เป็นเด็กที่มาจากต่างจังหวัดที่มาอาศัยอยู่ในวัด  จะมาให้ใช้คำสุภาพหรือภาษาที่ดูเป็นทางการมากก็คงทำให้ทุกคนที่อ่านเรื่องสั้นเล่มนี้ไม่เข้าใจถึงความเป็นเด็กวัดจริงๆ  ตัวอย่างการใช้ภาษา เป็นการพูดคุยกันของ สนั่นกับไมตรี
“ตอนแรกก็บอกว่า  กูรักการวาดรูปมาก  ขอให้ได้เรียนเถอะ  เรียนอย่างอื่นไม่ชอบ   แต่พ่อไม่ยอมเข้าใจ  เอาเรื่อง  เงินๆ  ทองๆ  มาพูดอยู่เรื่อย  กูเลยใช้ไม้ตายบอกว่าจะยอมให้โตเป็นควายอยู่กรุงเทพฯ   จะไม่ยอมเรียนอะไรทั้งนั้นนอกจากเรียนเพาะช่าง”  (หน้า 22)
และอีกตัวอย่าง ที่ยอดยิ่งใช่คุยกับไมตรี
“แย่ว่ะ   วันนี้กูเห็นเธอยืนคุยกับหนุ่มจุฬาฯ ท่าทางสนิทกันเสียด้วย  ไม่ยอมหันหน้ามาดูกูอีกเลย”
“หนุ่มคนนั้นอาจจะเป็นเพื่อนนักศึกษาคณะเดียวกัน  มาพบกันโดยบังเอิญก็ได้” (หน้า 140)
ถึงเรื่องสั้นเล่มนี้อาจใช้ภาษาที่อาจจะฟังแล้วไม่สุภาพ แต่ในเรื่องสั้นเล่มนี้ก็แฝงไปด้วยคำพูดที่เป็นข้อคิดหรือคมความคิดมากมาย ตัวอย่างตอนที่สีทาวัดเหลือทำให้เด็กในวัดเอาสีไปเขียนในห้องนอนของตัวเอง  เช่น
                “ข้าเป็นลูกชาวนาก็จริง  แต่ลูกของข้าต้องเป็นลูกข้าหลวง”
                “จงอดทนและทนอด” (หน้า 52)
และอีกตัวอย่างจากตอน  คุณยอดยิ่ง  ในขณะที่เด็กๆนั่งล้อมวงกินข้าวเย็น  แล้วอยู่ๆ  ยอดยิ่งก็พูดขึ้น
“เกิดเป็นคนจนถึงจะหัวดีอย่างไร  ก็เรียนสู้ลูกคนรวยที่หัวดีไม่ได้  เราหิวไม่ได้กิน  เวลาหิว    ทำให้สมองปั่นป่วน  เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง  ส่วนลูกคนรวยเวลาเรียนหนังสือดึกๆ  นึกจะกินอะไรก็ได้กิน  ในตู้เย็นมี   จะกินก๋วยเตี๋ยว  บะหมี่  ก็ให้คนขับรถออกไปซื้อมาได้”  (หน้า 138)
ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาและยกตัวอย่างนั้น จะเป็นในเรื่องของการใช้ภาษาในเรื่องสั้นเรื่อง    “คนอยู่วัด”                         ผู้แต่ง “ไมตรี  ลิมปิชาติ” ภาษาที่ใช้อาจจะเป็นจุดบกพร่องในเล่มเนื่องจากเป็นภาษาที่ค่อนข้างที่จะไม่สุภาพ แต่ในทางกลับกันการใช้ภาษาที่ไม่สุภาพนั้นก็กลับกลายมาเป็นเด่นและเป็นข้อดีในเล่นก็ได้  เนื่องจากภาษาที่สุภาพนั้นเป็นภาษาที่ใช้กันโดยทั่วไปในสังคม    จึงทำให้ผู้อ่านนั้นมีความเข้าใจในตัวละครและเนื้อเรื่องที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอ
วิจารณ์และวิพากษ์
จากการที่ข้าพเจ้าได้ทำการวิเคราะห์เนื้อเรื่องและตัวละครเรื่องสั้น  “คนอยู่วัด”  แต่งโดย         “ไมตรี  ลิปปิชาติ” ที่เป็นการเล่าเรื่องจากประสบการณ์การจริงของผู้แต่งเอง  เป็นเหตุการณ์สมัยอยู่วัดร่วมกันของบรรดาเพื่อนเด็กวัดมาเล่าสู่กันฟัง เป็นการสะท้อนให้เห็นชีวิตจริงและสังคมของการเป็นเด็กวัด                     ในหลากหลายแง่มุมที่คนในสมัยปัจจุบันนี้ไม่ค่อยไปพบเห็นแล้ว ให้แง่คิดและคติสอนใจในการดำเนินชีวิตให้แก่ผู้ที่ได้อ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรู้จักการอดทนและการประหยัดอดออมที่จะปรากฏอยู่ในทุกตอนของเรื่องสั้น ยังมีเรื่องความพยายามที่จะปรากฏในตอนรางวัล และตอนคุณยอดยิ่ง ที่ตัวละครเล่านั้นมีความพยายามและความอดทนจนประสบความสำเร็จในชีวิต และยังมีตอนของนึกที่เป็นตัวละครที่ไม่รู้จักอดออมไม่มีความพยายามและความอดทนทำให้ชีวิตพบเจอแต่สิ่งที่ไม่ดี ทำให้เรื่องสั้นเล่มนี้เกิดความชัดเจนเกิด 
ข้อเปรียบเทียบกันระหว่างคนที่ทำดีแล้วจะได้ดีคนและคนที่ทำชั่วแล้วได้ชั่ว และในเรื่องสั้นเล่มนี้ยังมีตอนที่ข้าพเจ้าประทับใจอยู่ตอนหนึ่งข้าพเจ้าจึงขอยกเอาตอนนั้นมาทำการวิจารณ์ซึ่งตอนนั้นก็คือตอน “ค่าของเหรียญทอง”
เหรียญทอง ในเรื่องนี้เปรียบเป็นตัวแทนของค่าความสามารถของแต่ละคนที่มีไม่เท่ากัน เหรียญทองของแต่ละคนจึงแตกต่างกันดังเช่นในกรณีของไมตรี ลิมปิชาติ  ที่ความสามารถของเขานั้นมีค่าไม่พอสำหรับคนอื่น
ค่าของเหรียญทอง กล่าวถึงผู้แต่งที่เคยอาศัยวัดเมื่อยังเด็ก    เพื่อทำการศึกษาในกรุงเทพมหานคร   โรงรับจำนำคือที่พึ่งพิงของเด็กวัดอย่างเขาอย่างแท้จริง   เพราะว่าเมื่อเกิดเงินขาดมือก็สามารถนำสิ่งของที่มีไปจำนำได้ เป็นการแก้ขัดสน ไมตรีเองก็ยังเคยนำของมีค่าที่ติดตัวมาไปจำนำอยู่หลายครั้ง  ครั้งหนึ่งไมตรีขัดสนมากแต่ไมตรีไม่มีของมีค่าเหลือพอที่จะไปจำนำ ไมตรีจึงนำเหรียญทองจากการแข่งขันบาสเกตบอลสุดรักสุดหวงและสูงค่าสำหรับเขาไปจำนำ แต่ทางโรงรับจำนำไม่ยอมรับจำนำ เพราะเห็นว่าไม่มีราคาค่างวดพอ
                ผู้แต่งต้องการจะเน้นให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่นั้นเมื่อมองสิ่งเดียวกัน แต่กลับมองไม่เห็นในสิ่งเดียวกันหรือมองเห็นค่าของสิ่งนั้นไม่เหมือนกัน  เช่นเหรียญทองของไมตรี  ที่ไมตรีมองว่ามันมีค่ามาก แต่ในสายตาของหลงจู๊ทางโรงรับจำนำ กลับมองว่าเหรียญทองของไมตรีนั้นเป็นเพียงเหรียญธรรมดาที่ชุบสีขึ้นมาให้มันเป็นเพียงสีทอง
                เมื่อกล่าวถึงค่าของเหรียญทอง ก็ทำให้นึกไปถึง เหตุการณ์อื่นๆได้อีกหลายเหตุการณ์ ที่คนเรามักจะมีความเห็นไม่ตรงกัน การที่คนเราเห็นไม่ตรงกันนั้น อาจจะเนื่องมาจากภูมิหลัง ที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละตัวบุคคล ทัศนคติในการมองโลก รวมไปถึงพื้นฐานนิสัยใจคอในแต่ละคนอีกด้วย
                ค่าของเหรียญทอง นอกจากจะให้ข้อคิดทางด้านมุมมองยังมีการแฝงสัญลักษณ์เพื่อเพิ่มความงาม ความน่าสนใจในงานเขียนชิ้นนี้ดังที่เขาได้ใช้ คำว่ามือปืนรับจ้าง แทนตัวเองเวลาที่จะต้องเดินเข้าออกโรงจำนำแทนคนอื่น เนื่องมาจากบางคนยังรู้สึกอายที่จะต้องเดินเข้าออกโรงจำนำ ในประโยคที่ว่า
                นานเข้าผมก็กลายเป็นมือปืนรับจ้าง ใครมาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ หน้ายังบางอยู่...(หน้า 70)
            จากลีลาในการแต่งและการดำเนินเรื่องทำให้ข้าพเจ้าคิดว่า  “ไมตรี ลิมปิชาติ”   มีความสามารถเล่าเรื่องราวได้อย่างสนุกสนานน่าติดตาม แฝงข้อคิดไว้ในเรื่องราวทุกเรื่อง อีกทั้งยังไม่ลืมเพิ่มลูกเล่นในงานประพันธ์ของเขา
                ทุกคนย่อมมีเหรียญทองเป็นของตนเอง เหรียญทองของตนนั้นอาจจะมีค่ามหาศาล แต่อย่าลืมว่า เหรียญทองนั้นเป็นเหรียญทองของเรา คนอื่นอาจจะไม่เห็นไม่เห็นคุณค่าของมันเท่าที่เรามองเห็น ในอีกแง่มุมหนึ่งคนอื่นเขาก็มีเหรียญทองที่เรานั้นไม่เข้าใจคุณค่าของมัน เราจึงควรพยายามที่จะเข้าใจในค่าเหรียญทองของคนอื่นด้วยเช่นกัน
จากการที่ได้ทำการวิเคราะห์และการวิจารณ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าหนังสือ “คนอยู่วัด” ของ         “ไมตรี ลิมปิชาติ” นั้นจะสะท้อนในเห็นถึงสภาพทางสังคมของเด็กวัด  จะมีวิถีชีวิตต่างๆของเด็กวัด ที่เป็นประสบการณ์จากชีวิตจริงของตัวผู้แต่งเองและในหนังสือเรื่องสั้นเล่มนี้ยังแฝงไปด้วยขอคิด และแง่คิดต่างๆ  ในการใช้ชีวิตอีกด้วย ถึงแม้จะใช้ภาษาที่ดูบกพร่องไปบ้างดังที่ได้ชี้ให้เห็นไปแล้วในข้างต้น แต่ข้าพเจ้าคิดว่าหนังสือเรื่อง “คนอยู่วัด” นี้เป็นหนังสือที่ดีอีกเล่มหนึ่ง ถือว่าเป็นความตั้งใจของผู้เขียนที่อยากจะถ่ายทอดประสบการณ์ที่ทั้งดีๆและทั้งที่ไม่ดี   ในชีวิตที่เคยเจอมาเพื่อเป็นการบอกเล่าให้คนที่ไดอ่านได้รับรู้และ      ได้ข้อคิดดีที่แฝงอยู่ในเนื้อเรื่องไปปรับใช้ในชีวิตของตนเอง